บางตอนจากหนังสือ โอวาท 4 ของท่านเหลี่ยวฝาน ครับ
1. อนาคต และชะตาชีวิต
ท่านผู้เฒ่าข่งพยากรณ์อนาคตของพ่อไว้ว่า ปีใดจะสอบได้เป็นนักเรียนหลวง ได้ข้าวพระราชทานเป็นจำนวนเท่านั้นถัง ปีใดจะได้สอบขั้นสุดท้าย ปีใดจะได้เป็นนายอำเภอ เมื่อเป็นนายอำเภอแล้วสามปีครึ่งก็ควรลาออกจากราชการ เพราะอายุ ๕๓ ปี ก็จะสิ้นอายุขัย จะนอนตายอย่างสงบในวันขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๘ เวลาระหว่างตี ๑-๓ น่าเสียดายจะไม่มีบุตรไว้สืบสกุล พ่อได้บันทึกไว้ทุกคำ เพื่อกันลืม..
ในกาลต่อๆมา คำพยากรณ์ของท่านผู้เฒ่าข่งก็ยังคงแม่นยำเสมอมา มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านพยากรณ์ไว้ว่า จะได้รับพระราชทานข้าวหลวงครบจำนวนหนึ่งแล้ว จึงจะได้สอบขั้นสุดท้ายเพื่อเตรียมตัวเข้าเมืองหลวงนั้น ยังไม่ทันที่พ่อจะได้รับพระราชทานข้าวหลวงครบตามจำนวนที่ท่านพยากรณ์ไว้ พ่อก็ได้รับคำสั่งให้ไปสอบ คราวนี้สอบตก.. พ่อเริ่มสงสัยในคำพยากรณ์อยู่ในใจ แต่แล้วในปีต่อมา มีอาจารย์ท่านหนึ่งที่เคยเป็นกรรมการตรวจข้อสอบให้พ่อ ท่านเคยชมพ่อว่า คำตอบทั้ง ๕ ข้อของพ่อนั้น เขียนได้ดีเหมือนขุนนางผู้ใหญ่เขียนทูลเกล้าฯ ถวายความเห็นต่อฮ่องเต้นั่นเทียว ท่านว่า ถ้าคนไม่มีความรู้จริงย่อมเขียนไม่ได้เช่นนี้ ความสามารถของพ่อย่อมจักเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดิน ไฉนจึงจะถูกทำลายอนาคตเสียเล่า ท่านจึงสั่งให้พ่อไปทำงานกับท่าน และให้รับพระราชทานข้าวหลวงย้อนหลัง จนครบจำนวนที่ขาดไป ปรากฏว่าเท่าจำนวนที่ท่านผู้เฒ่าข่งคำนวณไว้พอดี..
เมื่อเป็นเช่นนี้ ยิ่งทำให้พ่อเพิ่มความเชื่อถือในคำพยากรณ์ของท่านผู้เฒ่าข่งยิ่งขึ้น เพราะอุปสรรคที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั้น ทำให้เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าชะตาชีวิตนั้นได้ถูกลิขิตมาแล้วอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว จะมีใครเป็นอุปสรรคอย่างไรก็หนีไม่พ้น พ่อจึงปล่อยใจให้เป็นไปตามยถากรรม ไม่มีความกระตือรือร้น ไม่ทะเยอทะยาน ขวนขวาย ไม่ดิ้นรนที่จะเอาดีไปกว่านี้อีกต่อไป ทำให้จิตใจสงบดียิ่งนัก
เมื่อพ่อสอบได้แล้วเช่นนี้ ก็ต้องเดินทางเข้าเมืองหลวง (ปักกิ่ง) อยู่ในมหาวิทยาลัยของหลวงหนึ่งปี พ่อไม่ได้ดูหนังสือหรือตำราเรียนใดๆอีกเลย เอาแต่นั่งสมาธิ ไม่พูดไม่จา ไม่คิดอะไรทั้งสิ้น พอครบหนึ่งปี พ่อก็ได้รับคำสั่งให้ย้ายไปเข้ามหาวิทยาลัยของหลวงทางใต้ (นานกิง) อันเป็นสถาบันสุดท้าย ซึ่งนักศึกษาที่สอบไล่ได้ตามขั้นตอนต่างๆในภูมิลำเนาเดิมของตนมาแล้ว จะต้องเข้ามาฝึกฝนเตรียมตัวสอบ เพื่อออกรับราชการต่อไป แต่ก่อนที่พ่อจะเข้าไปยังสถาบันนี้ได้แวะไปที่วัดชีเสียซานเพื่อคารวะท่านอวิ๋นกุเถระเสียก่อน พ่อได้นั่งสมาธิกับท่านสองต่อสองเป็นเวลานานถึงสามวันสามคืน โดยมิได้หลับนอนเลย
พระเถระกล่าวกับพ่อด้วยความแปลกใจว่า “อันธรรมดาปุถุชนนั้น จิตใจว้าวุ่นสับสน จึงไม่สามารถบรรลุฌานได้ ส่วนพ่อนั้น ไฉนนั่งสามวันแล้วยังไม่เห็นจิตใจวอกแวกเลย”
พ่อจึงเล่าสาเหตุให้ท่านฟังว่า ท่านผู้เฒ่าข่ง ได้พยากรณ์อนาคตของพ่อไว้แน่นอนแล้ว คิดวุ่นวายไปก็ไร้ประโยชน์ จึงทำใจให้สบายไร้กังวลดีกว่า
ท่านอวิ๋นกุเถระหัวเราะร้องว่า “โธ่เอ๋ย นึกว่าเป็นผู้วิเศษแล้วเสียอีก ที่แท้ก็ยังเป็นปุถุชนอยู่นั่นเอง!!”.
พ่อจึงกราบถามท่านว่า “ทำไมจึงว่าพ่อเป็นปุถุชน”
ท่านตอบว่า “อันที่จริง คนเรานั้นถ้าจิตใจไม่ว้าวุ่น ทำใจให้สงบได้แล้ว ก็เกือบจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ พ้นจากความเป็นปุถุชนได้แล้ว แต่คนธรรมดานั้นจิตใจยากที่จะสงบระงับได้ การฟุ้งซ่านนี่เองที่ทำให้คนเราถูกผูกมัด ด้วยพลังอำนาจบวกและพลังลบของธรรมชาติ ทำให้ไม่มีอิสระเสรี ต้องขึ้นกับดวงชะตาราศีและการโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้าที่โหราจารย์ได้คิดค้นทำสถิติกันไว้ โหราศาสตร์จึงมีขึ้นด้วยเหตุนี้ ก็มีแต่สามัญชนคนธรรมดาเท่านั้นที่จะถูกกำหนดได้ตามวิชาโหราศาสตร์ แต่คนทำความดีมากๆแล้ว ชะตาชีวิตจักทำอะไรได้ โหราศาสตร์นั้นหยั่งไม่ถึงกรรมดีกรรมชั่วของคนเราหรอก วิชาโหราศาสตร์จึงยึดถือเป็นบรรทัดฐานไปหมดมิได้ เพราะคนดีนั้น ถึงแม้ชะตาชีวิตจะบ่งไว้ว่าไม่ดีอย่างไร แต่พลังแห่งกุศลกรรมนั้นใหญ่หลวงนัก สามารถพลิกความคาดหมายของโหราศาสตร์ได้ คนจนก็กลายเป็นคนรวยได้ คนอายุสั้นก็กลายเป็นคนอายุยืนได้ ในทำนองเดียวกันคนที่สร้างอกุศลกรรมอย่างหนักไว้ ชะตาชีวิตก็ไม่สามารถผูกมัดเขาไว้ได้เช่นกัน แม้จะถูกลิขิตมาว่าจะได้ดีมีสุขอย่างไร แต่พลังแห่งอกุศลกรรมนั้นหนักนัก ย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงความสุขเป็นความทุกข์ ความมีลาภยศกลายเป็นหมดลาภยศ ความอายุยืนก็กลายเป็นอายุสั้นได้เช่นกัน ท่านว่าพ่อนั้นปล่อยชีวิตให้ขึ้นอยู่กับชะตากรรมมายี่สิบปี ไฉนจะไม่ใช่ปุถุชนเล่า”
พ่อกราบถามท่านอีกว่า “ถ้าเช่นนั้น ชะตาชีวิตเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้หรือ?”
ท่านตอบว่า “ชะตาชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน อนาคตเราต้องสร้างของเราเอง คนทำดีชะตาก็ดี คนทำชั่วชะตาก็ชั่ว เมื่อต้องการอนาคตดีก็ต้องทำดี ถ้าทำแต่ความไม่ดี แม้ชะตาจะดีก็กลายเป็นร้ายไปได้ ในพุทธธรรมก็ได้กล่าวไว้ว่า ผู้ใดต้องการลาภยศย่อมได้ลาภยศ ผู้ใดต้องการบุตรธิดาย่อมได้บุตรธิดา ผู้ใดต้องการอายุยืนย่อมได้อายุยืน หากประกอบแต่กรรมดีย่อมสมปรารถนา…”
ท่านเหลี่ยวฝานก็เร่งทำความดี สะสมความดีงาม ท้ายสุดของชีวิต ท่านถึงแก่อนิจกรรม เมื่ออายุ ๗๔ ปี ในขณะที่บุตรของท่านอายุ ๔๒ ปีแล้ว คือปี พ.ศ.๒๑๖๖ (ค.ศ.๑๖๒๓) ผิดจากที่ท่านผู้เฒ่าข่งพยากรณ์ไว้ถึง ๒๑ ปี
2. การทำความดี
“มนุษย์ต้องคอยสำรวจตนเองเสมอ
เพื่อจักได้ดำเนินชีวิตตามครรลองคลองธรรม
เมื่อกระทำแต่ความดีงามแล้วไซร้
ไฉนจักไม่ได้รับความดีอันเป็นผลเล่า”
คัมภีร์โบราณชื่อว่า อี้จิง ก็ได้เน้นถึงความดีความชั่วไว้อย่างละเอียดละออ สอนคนดีให้รู้จักหลบหลีกจากกรรมชั่ว สั่งสมแต่กรรมดี เพื่อจักได้ผลดีตอบแทน หากว่าลิขิตของชาตาชีวิตเป็นสิ่งแน่นอนแล้วไซร้ จักหลีกเลี่ยงกรรมชั่ว สั่งสมกรรมดีได้อย่างใด ในหน้าแรกของคัมภีร์ก็กล่าวไว้ว่าครอบครัวใดสั่งสมแต่ความดีงาม ไม่เพียงแต่หัวหน้าครอบครัวเท่านั้นที่จะได้เสวยผลแห่งความดีนั้น แม้แต่ลูกหลานเหลนโหลนก็พลอยได้เสวยผลแห่งความดีนั้นด้วย วิเคราะห์ดูให้ดีแล้ว จะเห็นได้ว่าชาตาชีวิตไม่สามารถควบคุมมนุษย์ไว้ได้เสมอไป จิตใจมนุษย์สำคัญกว่า จิตใจที่ดีงามย่อมกระทำแต่สิ่งที่ดีงามและได้รับผลที่ดีงาม ผู้มีจิตใจทราม ย่อมกระทำแต่สิ่งที่เลวทรามและได้ผลที่เลวทราม
ท่านถามพ่อว่า “เชื่อท่านหรือไม่เล่า”
พ่อเชื่ออย่างมาก เพราะท่านพูดมีเหตุผล พ่อจึงคุกเข่าลงกราบท่านเพื่อแสดงว่ารับคำสั่งสอนด้วยความเคารพอย่างสูง แล้วพ่อไปนั่งลง ณ หน้าที่บูชาพระรัตนตรัย สารภาพบาปในอดีตต่อพระพักตร์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างหมดเปลือกแล้วอธิษฐานขอให้ได้เป็นขุนนาง ต่อไปนี้จะเริ่มกระทำความดีให้ครบสามพันครั้ง เพื่อตอบแทนพระคุณของฟ้าดินและบรรพชนของพ่อ
ท่านอวิ๋นกุเถระเห็นพ่อมีความตั้งใจทำความดีถึงปานนี้ จึงเอาตัวอย่างบัญชีกรรมดีกรรมชั่วมาให้พ่อดู แล้วสอนพ่อให้จดบัญชีพฤติกรรมของตนเองแต่ละวันอย่างละเอียดถี่ถ้วนโดยไม่เข้าข้างตนเอง ถ้าเป็นกรรมดีก็จดไว้ข้างหนึ่ง เหมือนบัญชีรับจ่าย ต้องนำกรรมชั่วไปลบกรรมดี ให้เหลือกรรมดีสามพันครั้ง โดยไม่มีกรรมชั่วที่ไม่ได้หักกลบลบหนี้แล้ว จึงจะนับว่าทำดีได้ครบสามพันครั้ง ต้องนำบัญชีมาทบทวนดูทุกวัน เพื่อเตือนใจให้รู้ว่าในวันหนึ่งๆ เราได้ทำอะไรผิดอะไรถูกจักได้แก้ไขปรับปรุงตนเอง ไม่ทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก กรรมชั่วเบาๆ ก็ต้องมาลบกรรมดีออกเสียครั้งหนึ่ง กรรมชั่วหนักๆ ก็ต้องมาลบความดีออกหลายๆ ครั้ง จนกว่าความดีจะครบสามพันครั้งดังที่ได้อธิษฐานไว้ แล้วสอนพ่อสวดมนต์บริกรรมคาถา เพื่อช่วยให้จิตใจมั่นคง โดยอาศัยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยเป็นสรณะเพื่อให้คำอธิษฐานหนักแน่นสัมฤทธิ์ผลเร็ววัน
พ่อนั้น แต่ก่อนมีชื่อว่า ‘เสวียห่าย’ ในวันนั้นพ่อเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า ‘เหลี่ยวฝาน’เพราะพ่อรู้ซึ้งแล้วว่า การสร้างอนาคตนั้นจะต้องเริ่มที่ตนเอง ใช่รอคอยโชคชะตามาผลักดันเป็นไปตามยถากรรม พ่อจะต้องหลุดพ้นจากความเป็นปุถุชนให้ได้ ไม่ยอมตกอยู่ในอิทธิพลของคำพยากรณ์อีกต่อไป นี่คือความหมายในชื่อใหม่ของพ่อ ตั้งแต่นั้นมา พ่อสำรวมระวังบทบาทของกายวาจาใจอยู่ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ ทำให้ผิดแผกไปกว่าแต่ก่อนมาก ความมักง่าย ตามใจตนเอง ความไม่สำรวมอินทรีย์ได้ลดน้อยลง มีแต่ความระแวดระวังตั้งสติไม่ประมาท ดุจดั่งเตรียมพร้อมตั้งรับภยันตรายที่กำลังคืบคลานมาหาพ่อฉะนั้น แม้จะอยู่ในที่มืดหรือในที่รโหฐาน ก็ยังเกรงว่าผีสางเทวดาคอยจ้องจับตามองพ่ออยู่ ต่อหน้าและลับหลังคน จึงประพฤติตนไม่ต่างกัน หากมีผู้ใดแสดงความไม่พอใจพ่ออย่างไร วิพากษ์วิจารณ์รุนแรงเพียงใด พ่อกลับรับฟังได้โดยดุษณี ไม่เคยต่อล้อต่อเถียงกับผู้ใดอีกเลย
เมื่อกาลเวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี พ่อได้โอกาสเข้าทำการสอบไล่อีกครั้ง คราวนี้ได้ที่หนึ่ง พลิกความคาดหมายของท่านผู้เฒ่าข่ง ที่พยากรณ์ไว้ว่าจะสอบได้ที่สาม ท่านว่าหลังจากสอบครั้งนี้แล้ว ต่อไปจะสอบไม่ได้อีก แต่เมื่อพ่อไปสอบ ก็สอบได้อีก เป็นอันว่าคำพยากรณ์ไม่สามารถกุมวิถีชีวิตของพ่อได้อีกต่อไป
แต่การทำความดีนั้นมิได้ง่ายอย่างที่นึกไว้ สำรวจดูแล้วก็พบข้อบกพร่องมากมาย เช่น ไม่มีความอาจหาญพอที่จะเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัย บางทีจิตใจลังเล ไม่สามารถช่วยได้สุดกำลัง บางทีก็ช่วยไป บ่นว่าไป อดติเตียนเสียมิได้ เวลาปกติก็ยังมีสติควบคุมตนเองได้ดีอยู่ บางทีดื่มเหล้าเมามาย ความประพฤติดั้งเดิมก็กลับมามีบทบาทอีก คะแนนของกรรมดี ถูกกรรมชั่วลบไปเสียมาก ทำให้ต้องใช้เวลาเกือบ ๑๑ ปี คือตั้งแต่ พ.ศ.๒๑๑๒-พ.ศ.๒๑๒๒ จึงสามารถรวบรวมการทำความดีได้ครบสามพันครั้ง
บังเอิญขณะนั้น พ่อไปเที่ยวนอกด่านกับเพื่อน จึงมิได้ประกอบพิธีอุทิศบุญกุศลดังที่ตั้งจิตอธิษฐานไว้ จนกระทั่งรุ่งขึ้นอีกปีหนึ่ง พ.ศ. ๒๑๒๓ เมื่อกลับมาทางใต้แล้ว จึงไปนิมนต์ท่านซิ่งคง และท่านเฮว่ยคง ซึ่งล้วนเป็นพระเถระที่ทรงคุณวิเศษ มาประกอบพิธีอุทิศกุศลผลบุญที่ได้เพียรทำต่อเนื่องมาได้รวมสามพันครั้ง ตามที่ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ แล้วเริ่มตั้งจิตอธิษฐานใหม่ ครั้งนี้ขอให้ได้ลูกที่ดี จะทำความดีอีกสามพันครั้ง พอรุ่งขึ้นอีกปี พ.ศ. ๒๑๒๔ พ่อก็ได้เจ้ามา จึงตั้งชื่อให้ว่า‘เทียนชี่’ แปลว่า ‘ฟ้าประทาน’
เวลาใดที่พ่อได้กระทำความดีทางกายกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี พ่อก็จะใช้พู่กันบันทึกไว้ทันที แต่แม่เจ้าเขียนหนังสือไม่เป็น เมื่อได้ช่วยพ่อกระทำความดีครั้งใด ก็ใช้ก้านขนห่าน จิ้มชาดกดวงไว้บนปฏิทิน บางวันให้ทานคนยากจนหลายครั้ง ปล่อยสัตว์มีชีวิตมาก วันหนึ่งๆ แม่เจ้าวงไว้ถึงสิบกว่าวงด้วยกัน เพียงสองปีกว่าก็ทำได้ครบสามพันครั้งอีก คราวนี้ พ่อนิมนต์พระเถระรูปก่อนๆมาทำพิธีอุทิศบุญกุศลที่บ้านเราเอง และเริ่มตั้งจิตอธิษฐานขอให้สอบตำแหน่งจิ้นสือได้ จะทำความดีให้ครบหนึ่งหมื่นครั้ง ต่อมาอีกสามปี พ่อก็สอบได้และได้เป็นนายอำเภอในปีนั้นเอง ประมาณ พ.ศ. ๒๑๒๙ (ประมาณ ค.ศ. ๑๕๘๖)
พ่อได้ทำสมุดขึ้นมาเล่มหนึ่ง ให้ชื่อว่า ‘สมุดบริหารใจ’ตอนเช้า อันเป็นเวลาที่พ่อนั่งชำระความ พ่อก็ให้คนนำสมุดนี้มาวางไว้บนบัลลังก์ด้วย ในแต่ละวันพ่อชำระคดีไว้อย่างไรบ้าง ก็จะบันทึกไว้ในสมุดเล่มนี้อย่างละเอียด เพื่อไว้ตรวจสอบดูว่าจะมีอคติในการชำระความอย่างไรบ้างหรือไม่ มีความยุติธรรมเพียงพอไหม ให้ความเมตตาปรานีเพียงพอไหม เพื่อจะได้ไว้แก้ไขในวันต่อไป.. พอตกกลางคืน พ่อก็ตั้งโต๊ะที่กลางลานบ้าน พ่อแต่งตัวเต็มยศเพื่อแสดงความเคารพต่อฟ้าดิน แล้วจุดธูปเทียนบูชาฟ้าดิน คุกเข่าลงอ่านบันทึกนั้น แล้วเผาถวายฟ้าดินหนึ่งชุด เก็บไว้หนึ่งชุด ที่พ่อทำเช่นนี้ ก็เพราะพ่อเห็นตัวอย่างอันดีงามนี้ มาจากขุนนางผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในสมัยราชวงศ์ซ้อง ที่ได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีน ด้วยความเคารพอย่างสูงว่าเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของท่าน เท่ากับชีวิตของท่านเอง ไม่ยอมสยบต่อขุนนางกังฉิน ดูแลความทุกข์สุขของราษฎร และขุนนางใหญ่น้อยอย่างไม่กลัวตาย ถ้ามีการฉ้อราษฎร์บังหลวง มีการอาศัยหน้าที่หรืออิทธิพล ก่อกรรมทำเข็ญกับชาวบ้าน หรือขุนนางผู้น้อยแล้วไซร้ แม้ผู้นั้นจะเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้สักเพียงไรก็ตาม ท่านก็ไม่เกรงกลัว เป็นต้องนำหลักฐานทูลเกล้าฯ ถวายฮ่องเต้ให้ได้รับโทษานุโทษจงได้ เมื่อท่านสิ้นอายุขัยแล้ว จึงได้รับพระราชทานเกียรติยศอันสูงส่ง ได้รับสถาปนาเป็นที่ชิงเซี่ยงกง หมายถึงผู้ที่กราบทูลด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ใจ (เข้าใจว่าหมายถึง เปาบุ้นจิ้น) พ่ออ่านชีวประวัติอันเกริกเกียรติของท่านแล้วประทับใจมาก จึงถือเป็นตัวอย่างอันดีงามที่จะต้องปฏิบัติตามให้ได้ เพื่อป้องกันการชําระความของพ่อ มิให้ด่างพร้อยเสียความยุติธรรมไปได้ พ่อจึงกระทำเช่นนี้ทุกคืน..
แม่ของเจ้าแสดงความวิตกกังวลให้พ่อฟังว่า แต่ก่อนนี้อยู่บ้านเราเอง ก็ช่วยกันทำบุญทำทาน มีโอกาสประกอบกรรมดีมาก ไม่กี่ปีก็ได้ครบสามพันครั้ง แต่ตอนนี้เราอยู่ในสถานที่ราชการ ไม่มีโอกาสสัมผัสกับคนยากจนเหมือนแต่ก่อน ความดีหนึ่งหมื่นครั้ง เมื่อใดจะทำสำเร็จได้เล่า..
พ่อก็ได้แต่รับฟัง ในคืนวันนั้น จะว่าบังเอิญหรือไม่หนอ พ่อฝันเห็นเทวดาองค์หนึ่ง พ่อจึงปรับทุกข์กับท่านถึงเรื่องที่แม่เจ้าวิตกกังวล ท่านบอกกับพ่อว่า พ่อนั้นไม่รู้ตัวเลย พ่อได้ทำความดีครบหนึ่งหมื่นครั้งแล้ว เพียงแต่ลดภาษีข้าวให้แก่ราษฎรทั้งหมดที่อยู่ในความปกครองของพ่อโดยทั่วหน้ากัน การบรรเทาภาระอันหนักของราษฎรเป็นกุศลกรรมอันยิ่งใหญ่ เพราะทำให้ราษฎรเป็นสุขขึ้น พ่อตื่นขึ้นมาก็นึกขึ้นได้ว่า พ่อได้ทำไปเช่นนั้นจริงๆ เพราะสงสารราษฎรที่ต้องเสียภาษีหนักเกินไป ทำไมเรื่องราวเหล่านี้ ซึ่งพ่อเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็ล่วงรู้ถึงเทวดาฟ้าดินได้ และก็ยังสงสัยอยู่ว่า ทำเพียงแค่นี้น่ะหรือ ก็เป็นความดีได้ถึงหนึ่งหมื่นครั้ง บังเอิญ ท่านฝานอวี๋ย์เถระ มาจากภูเขาอู่ถายซาน พ่อจึงกราบถามท่านเพื่อให้หายสงสัย
ท่านตอบว่า.. กุศลกรรมใดก็ตาม ถ้าทำด้วยความจริงใจ บริสุทธิ์ใจ ไม่หวังตอบแทนเป็นส่วนตัวแล้วไซร้ แม้กระทำครั้งเดียว ก็เท่ากับกระทำหมื่นครั้งได้ทีเดียว.. การที่พ่อเห็นความทุกข์ยากของราษฎร หาทางแก้ไข ผ่อนหนักเป็นเบา ความสุขที่ราษฎรทั้งอำเภอได้รับ ย่อมเป็นกุศลกรรมอันยิ่งใหญ่ พ่อจึงเอาเงินเดือนของพ่อเดือนนั้นถวายแก่ท่านฝานอวี๋ย์เถระ เพื่อให้ทำอาหารมังสวิรัติถวายพระภิกษุในวัดของท่าน ซึ่งมีประมาณหนึ่งหมื่นรูป และอุทิศกุศลกรรมทั้งมวลไปตามที่อธิษฐานเอาไว้
ท่านผู้เฒ่าข่งเคยพยากรณ์พ่อไว้ว่า พ่อจะมีอายุอยู่ได้ ๕๓ ปีเท่านั้น พ่อก็มิได้อธิษฐานให้ตนเองมีอายุยืนยาวแต่อย่างใด แต่ปีนั้นพ่อก็ไม่เป็นไร อยู่มาจนบัดนี้ พ่อมีอายุได้ ๖๙ ปี แล้ว โบราณท่านกล่าวไว้ว่า ฟ้าดินนั้นสุดที่จะหยั่งรู้ได้ ชะตาชีวิตจึงเอาแน่ไม่ได้ ชีวิตของใคร คนนั้นก็ต้องสร้างอนาคตเอาเอง จะให้คนอื่นสร้างให้หาได้ไม่ คำพูดนี้เป็นความจริงที่พ่อพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง พ่อจึงเชื่อมั่นด้วยความประจักษ์แจ้งแก่ใจของพ่อเองว่า ความสุขความทุกข์ล้วนแต่เกิดจากการกระทำของตนเองทั้งสิ้น ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว เป็นคำที่ท่านนักปราชญ์โบราณกล่าวกันต่อๆมาจนถึงบัดนี้ ถ้าใครยังเชื่อว่าสุขทุกข์เป็นสิ่งที่ถูกลิขิตมาแล้วอย่างแน่นอน แก้ไขไม่ได้แล้วไซร้ แม้ผู้นั้นจะแสนฉลาดปราดเปรื่องอย่างไร เขาก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ หาความก้าวหน้ามิได้เลย
เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจมากครับ การทำสมุดจดบันทึกคุณความดี ปัญชีกรรมดีกรรมชั่ว เพื่อให้เราทราบว่า เรานั้นได้ทำความดีมากน้อยแค่ไหนแล้ว ทำความไม่ดีมากน้อยแค่ไหนแล้วในชีวิต บางครั้ง ชีวิตเราผ่านไป วันแล้ววันเล่า โดยไม่ทันเฉลียวใจว่า ชีวิตผ่านไปอย่างไร อ่านแล้ว ก็อดประทับใจไม่ได้ นอกจากออมเงิน แล้ว เรายังสามารถหม้่นเก็บออมคุณความดีอีกด้วย
3. การถ่อมตน
.. ทะนงตนย่อมนำมาซึ่งความวิบัติ ถ่อมตนย่อมนำมาซึ่งความเจริญ พ่อได้ไปร่วมสอบไล่กับนักศึกษาอื่นๆตั้งหลายครั้งทุกครั้งพ่อสังเกตเห็นนักศึกษาที่ยากจนบางคน บนใบหน้ามักทอประกายแห่งความถ่อมตน จนบางครั้งพ่อคิดอยากจะเอามือทั้งสองของพ่อไปประคองประกายแห่งความถ่อมตนนั้น มาประดับบนใบหน้าของพ่อเสียบ้าง และไม่ต้องสงสัยเลย พวกเขาเหล่านี้สอบไล่ได้ทุกทีไป
เมื่อตอนที่พ่อเข้ามาสอบในเมืองหลวง มีเพื่อนนักศึกษาร่วมเดินทางมาด้วย รวมทั้งหมดสิบคนด้วยกัน พ่อสังเกตดูเห็นมีคนที่อายุน้อยที่สุด มีชื่อว่า ‘ปิง’ เป็นคนเดียวที่มีความสงบเสงี่ยมเจียมตน มีความถ่อมตนอยู่เป็นนิจ พ่อจึงบอกกับเพื่อนว่า คนๆนี้ต้องสอบไล่ได้แน่นอน เพื่อนถามว่าทำไมพ่อจึงรู้ล่วงหน้าได้เล่า พ่อบอกเขาว่า ความถ่อมตนย่อมนำมาซึ่งความเจริญ ในหมู่พวกเราทั้งสิบคนนี้ มีใครบ้างที่ซื่อและจริงใจเหมือนเขา คอยเอาใจเพื่อนฝูง ไม่เคยเอาเปรียบใครเลย แม้ใครจะหยอกล้อก็ไม่โกรธตอบ ใครนินทาว่าร้ายก็ไม่โต้เถียงสำรวมระวัง ไม่ยอมปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์เหมือนคนอื่น คนเช่นนี้ แม้แต่ผีสางเทวดาฟ้าดิน ก็ยังต้องให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือ เมื่อผลการสอบไล่ครั้งนั้นปรากฏออกมา ก็เป็นจริงดังที่พ่อคาดไว้ทุกประการ
เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๓๕ พ่อได้ไปเมืองหลวงเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ได้พบกับเพื่อนคนหนึ่ง ดูเขาช่างมีความจริงใจและอารมณ์ดีเสียนี่กระไร ประกายแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ทั่วบรรยากาศที่รอบๆตัวเขา ทำให้พ่อได้สัมผัสกับประกายนี้ด้วยความชื่นชม พ่อกลับจากเข้าเฝ้า ได้เล่าให้เพื่อนๆฟังว่า หากฟ้าจะประทานความเจริญรุ่งเรืองแก่ใคร มักจะประทานสติปัญญาให้ก่อน เมื่อมีสติปัญญาแล้ว คนที่เจ้าอารมณ์ก็จะเปลี่ยนเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้ คนที่อวดดีกลายเป็นคนถ่อมตนได้ เมื่อพัฒนาตนเองได้แล้ว ฟ้าย่อมประทานบุญวาสนามาให้ และก็เป็นจริงดังว่า เขาสอบไล่ได้ในปีนั้นเอง
เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๗๗ มีนักศึกษา ‘แซ่จาง’ คนหนึ่ง มีความรู้ดี เขียนบทความก็ดี เป็นคนเด่นคนหนึ่งในบรรดานักศึกษาทั้งหมด เขาเดินทางมานานกิงเพื่อเข้าสอบ พักอยู่ที่วัดๆหนึ่ง เมื่อผลการสอบประกาศออกมา ปรากฏว่าสอบตก แทนที่จะโทษตนเองว่าความรู้ยังไม่ถึงจึงสอบไม่ได้ กลับโกรธกรรมการคุมสอบ หาว่าไม่ยุติธรรม มีตาก็หามีแววไม่ บทประพันธ์ดีๆก็หาว่าไม่ดี หลวงจีนในวัดท่านหนึ่งได้ยินเข้า จึงยืนยิ้มอยู่ เขาก็เลยพาลโกรธท่านหลวงจีนไปด้วย หลวงจีนจึงกล่าวกับเขาว่า ดูดูแล้วเห็นทีบทประพันธ์ของท่านไม่ดีจริง เขายิ่งโกรธใหญ่ ตวาดหลวงจีนว่า ยังไม่ทันเห็นบทประพันธ์จะรู้ว่าดีไม่ดีได้อย่างไร หลวงจีนจึงพูดว่า การประพันธ์ต้องอาศัยความสงบทางใจ จิตเป็นสมาธิจึงจะเขียนได้ดี ท่านควบคุมอารมณ์ไม่ได้ หวั่นไหวอยู่ตลอดเวลา จะเขียนบทประพันธ์ได้ดีอย่างไรได้ นักศึกษาจางได้สติ จึงคุกเข่าขอขมาและมอบตัวเป็นศิษย์
หลวงจีนจึงสอนว่า การสอบไล่ได้หรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับชะตาชีวิต ถ้าชะตาไม่ดี แม้จะเขียนบทประพันธ์ได้ดีอย่างไร ก็สอบไม่ได้ จึงต้องแก้ไขที่ตนเองเสียก่อน นักศึกษาจางกราบถามท่านว่า หากขึ้นอยู่กับชะตาชีวิตแล้วจะแก้ไขได้หรือ หลวงจีนพูดว่า ฟ้าประทานชีวิตให้เรา แต่ชะตาชีวิตเราต้องสร้างสมเอง หากกระทำแต่กรรมดี มีศีลมีธรรม ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ยิ่งไม่มีผู้รู้เห็นก็ยิ่งเป็นกุศลมหาศาล เมื่อเราสั่งสมความดีจนเต็มเปี่ยมแล้ว เราจะต้องการชะตาชีวิตอย่างไร ก็ได้ทั้งนั้นนักศึกษาจางจึงปรารภว่า ข้าพเจ้าเป็นคนจน จะมีปัญญาช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างไร ท่านชี้แจงว่า การทำความดีต้องเริ่มที่ใจ มุ่งแก้ไขตนเองเสียก่อน เช่นการอ่อนน้อมถ่อมตนก็ไม่ต้องใช้เงินเลย ทำไมท่านไม่ตำหนิตนเองว่าความรู้ยังไม่เพียงพอจึงสอบตก แต่กลับไปด่ากรรมการควบคุมสอบเล่า
นักศึกษาจางเพิ่งได้คิด จึงเริ่มปฏิบัติตนเสียใหม่ ลดความหยิ่งผยองลงไปทุกวันๆ เพิ่มคุณธรรมให้กับตนเองมากยิ่งขึ้นทุกวันๆ ครั้นอีกสามปีต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๐๘๐ ในคืนวันหนึ่งได้ฝันไปว่าได้ไปในตึกสูงใหญ่หลังหนึ่ง เห็นบัญชีรายชื่อนักศึกษาที่สอบไล่วางอยู่หนึ่งเล่ม เมื่อเปิดออกดู เห็นทุกหน้ามีช่องว่าง เกิดความสงสัยจึงถามคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ว่า ทำไมบัญชีรายชื่อนักศึกษาที่สอบไล่ได้แล้ว จึงมีการคัดออกอีกเล่า ได้รับคำตอบว่า เนื่องจากผู้ที่สอบไล่ได้แล้วจะต้องผ่านการตรวจสอบในยมโลกทุกๆ ๓ ปี ถ้าใครมีความประพฤติไม่ดี ไม่อยู่ในธรรมก็จะถูกคัดชื่อออก จะสอบอีกอย่างไร ก็สอบไม่ได้ แล้วชี้ไปที่ว่างบนสมุดบัญชีนั้นว่า สามปีมานี้เจ้าตั้งใจฝึกตนให้ก้าวหน้าไปมาก จะเอาชื่อเจ้าไว้ตรงนี้ ขอให้เจ้ารักตนสงวนตัว อย่าได้วู่วามทำผิดเหมือนดังแต่ก่อนอีก ปีนั้นเขาก็สอบไล่ได้ที่ ๑๐๕
เมื่อดูเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วย่อมจะเห็นได้ว่า สูงจากศีรษะมนุษย์ไปเพียง ๓ ฟุต ก็มีเทพเจ้าคอยเฝ้าดูอยู่แล้ว เราจะต้องทำแต่สิ่งที่เป็นมงคล หลีกเลี่ยงการกระทำอันเป็นอัปมงคลเสีย จะดีจะชั่วจึงอยู่ที่ตัวเราเอง ถ้าควบคุมจิตใจและความประพฤติของเราให้ดี ไม่ทำสิ่งที่ฟ้าดินและผีสางเทวดาไม่พอใจ ไม่หยิ่ง ไม่โอหัง ไม่วู่วาม อดทนในสิ่งที่ทนได้ยาก ฟ้าดินและผีสางเทวดา ก็ย่อมจะสงสารเรา เห็นใจเรา ประทานความช่วยเหลือแก่เรา คนที่จะเป็นใหญ่เป็นโตในอนาคต ย่อมไม่ทำจิตใจคับแคบ เห็นแก่ตัว ย่อมไม่เป็นผู้ทำลายความสุขความเจริญของตนเอง ความถ่อมตนทำให้มีโอกาสที่จะได้รับการอบรมสั่งสอนจากท่านผู้รู้ ได้รับประโยชน์จากท่านเหล่านั้นไม่จบสิ้น นักศึกษาจึงควรทำตัวเช่นนี้ ลูกจงจำไว้ว่าคนที่ยกตนข่มท่าน ถือดีอวดเบ่งนั้น แม้จะได้ดิบได้ดี แต่ก็ไม่ยั่งยืนนาน
โบราณท่านว่าไว้ ปรารถนาชื่อเสียงย่อมได้ชื่อเสียง ปรารถนาความร่ำรวยก็ย่อมได้เป็นเศรษฐี ความปรารถนาของมนุษย์ เปรียบประดุจรากแก้วของต้นไม้ เมื่อหยั่งลึกลงดินแล้ว ต้นไม้ก็จะมีกิ่งก้านไพศาล ออกดอกออกผลตามฤดูกาลรากแก้วของมนุษย์ ก็คือการอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่ เราจะต้องยึดมั่นในคุณธรรมข้อนี้ ถ่อมตนไว้เสมอ ให้ความสะดวกแก่ผู้อื่น เมื่อไม่ทำให้ผู้อื่นสะเทือนใจ เพราะความอวดดีของเราแล้ว ฟ้าดินย่อมประทับใจในความดีของเรา พวกนักศึกษามักบนบวงเทพยดาฟ้าดินขอให้สอบไล่ได้ แต่พวกนี้ไม่ค่อยมีความจริงใจ การบนบวงจึงไม่ได้ผล ท่านนักปราชญ์เมิ่งจื๊อ พูดกับพระเจ้าฉีเซวียนอ๋องว่า พระองค์โปรดดนตรี ถ้าโปรดด้วยความจริงใจแล้วไซร้ ชะตาของประเทศฉี ก็จักรุ่งเรืองสุกใสเป็นแน่ แต่นี่พระองค์โปรดดนตรีเพื่อความสุขของพระองค์เอง หากพระองค์สามารถขยายความสุขส่วนพระองค์นี้ให้แผ่ไพศาลไปในดวงใจของราษฎรทุกคนแล้วไซร้ ราษฎรก็จะมีความสุขเหมือนดั่งพระองค์ และทุกคนก็จะจงรักภักดีต่อพระองค์อย่างสุดหัวใจ เมื่อนั้นชะตาของบ้านเมืองฉี จะไม่รุ่งเรืองสุกใสอย่างไรได้
เมื่อลูกต้องการสอบไล่ได้เป็นขุนนาง ลูกก็จะต้องตั้งความปรารถนาไว้ ดุจรากแก้วของต้นไม้ แน่วแน่ที่จะทำความดี ไม่ท้อถอย สั่งสมความดีงามให้ได้ทุกๆวัน ลดความถือดีอวดดีให้หมดสิ้นไป สร้างอนาคตด้วยตัวลูกเอง ชะตาชีวิตจักทำอะไรได้ ขอให้ลูกจงเพียรพยายามต่อไปเถิด ความสำเร็จย่อมรอลูกอยู่แล้วอย่างแน่นอน
….
ฉบับเต็มสามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้ที่
www.oknation.net/blog/tocare/2008/01/17/entry-2
leawphan.spaces.live.com/
อ่านแล้วประทับใจมากๆ อยากให้คนอื่นๆ ได้อ่านด้วยจริงๆ
Dear Mr O , MR Chairman,
Please stop the Currency War . Your country almost occupied by the vulture fund.
You did defense your country as the other country defends their home.
Draw the friendship world, no malicious attack from each other. What in the past
let it past. Create new world of possibility. Make every people easy to pursuit Nirvana,
pursuit peace in mind. Loving the others as themself. Regulate your people.
Create paradise in earth . No poor,no hunger. The unwanted things
that you don’t want it happen to your Country, don’t let it happen to other people.
Free Democracy with out Moral cause disaster as your history.
Power is in your hand. You owe the world once, It’s your duty to create the world.
With Love
PWL