BLOG Dr. KOB

Dr. KOBSAK POOTRAKOOL A Macroeconomist

  • BlogArticles
  • Interviewsrecent issues
  • Treasuresfrom the web
  • About

June 17, 2016
Posted by KOBSAK (ADMIN)

ธนาคารกลางสหรัฐ และ ความผันผวนในตลาดการเงินโลก

เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ดัชนีค่าเงินสหรัฐได้ลดค่าลงอย่างรวดเร็วถึง 1.7% จากเดิมที่ทยอยแข็งตัวมาสี่สัปดาห์ต่อเนื่อง ราคาทองคำโลกเพิ่มขึ้น 34 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือเพิ่มประมาณ 2.8% จากที่ลดลงต่อเนื่องมาเกือบเดือน ส่วนราคาพันธบัตรและสินทรัพย์อื่นๆ ก็ได้ปรับตัวเช่นกัน

ทั้งหมดนี้ เมื่อกล่าวไปแล้วเป็นผลเนื่องมาจากเฟดหรือธนาคารกลางสหรัฐ

ธนาคารกลางสหรัฐ : ต้นตอสำคัญของความผันผวนในตลาดการเงินโลก

ไม่ว่าจะมองในมุมไหน ข้อสรุปสำคัญสำหรับหนึ่งปีที่ผ่านมา ก็คือ ธนาคารกลางสหรัฐเป็นต้นตอสำคัญของความผันผวนต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในตลาดการเงินโลก

ครั้งที่ 1 ถ้าทุกคนลองย้อนกลับไปดูจะพบว่า เมื่อคุณเยเลน ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ ประกาศจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงปลายปีที่แล้ว พร้อมส่งสัญญาณไปข้างหน้าว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 4 ครั้งในช่วงปี 59 ตลาดและนักลงทุนซึ่งศรัทธาและเชื่อตามนั้น จึงได้เตรียมการรองรับ ส่งผลให้เบ็ดเสร็จแล้วค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้น 7% จากระดับที่ 94 จุด เป็น 100.5 จุด ในช่วงสั้นๆ เพียง 6 สัปดาห์ ส่งผลต่อการไหลเวียนของเงินทุนในระบบการเงินโลกและค่าเงินของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (ซึ่งรวมถึงไทยด้วย) ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงไปแตะระดับ 36.4 บาทต่อดอลลาร์

ครั้งที่ 2 อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดความปั่นปวนในตลาดการเงินของประเทศต่างๆ เมื่อเริ่มต้นปี เช่น ในจีน ที่ปิดการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไปหลายครั้ง ในสหรัฐ ที่ดัชนี Dow Jones ลดลงจาก 17,500 เหลือเพียง 15,500 รวมไปถึงผลพวงต่อประเทศอื่นๆ ตลาดจึงได้เริ่มปรับมุมมองเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายของธนาคารสหรัฐอีกรอบ ว่าเฟดคงไม่สามารถปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ตามที่เคยประกาศไว้ ต้องยอมชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยออกไป ซึ่งเมื่อกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐบางท่านออกมายืนยัน ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดการเงินโลกจึงเข้าสู่ช่วงของความผันผวนรอบใหม่ โดยในครั้งนี้ ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ย้อนไปแตะ 92 จุดหรืออ่อนลงถึง 8.4% ทำให้ค่าเงินในกลุ่มประเทศเกิดใหม่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง โดยสำหรับไทย แข็งไปที่ 34.7 บาทต่อดอลลาร์ (ซึ่งถ้าแบงก์ชาติเราไม่เข้ามาช่วยต้านไว้ จนเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นมากกว่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เงินบาทก็คงแข็งขึ้นไปอีกหลายบาท)

ครั้งที่ 3-4 สำหรับความผันผวนรอบล่าสุด ในช่วงปลายเดือนที่แล้ว หลังจากมีการเผยแพร่บันทึกการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐเมื่อครั้งปลายเดือนเมษายน ซึ่งชี้ว่า กรรมการส่วนมากเห็นตรงกันว่า ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐพัฒนาดีขึ้นตามคาด ก็จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งที่สองในการประชุมกลางเดือนมิถุนายนนี้ ตลาดและนักลงทุนจึงเริ่มเตรียมการรอบใหม่ เพื่อรองรับการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอีกรอบไปที่ประมาณ 96 จุด ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลง ก่อนที่จะเปลี่ยนทิศทางอีกครั้งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐที่ประกาศออกมา เพิ่มเพียง 38,000 ตำแหน่ง จากที่คาดกันไว้ที่ 160,000 ตำแหน่ง และที่เฉลี่ยปกติประมาณ 200,000 ตำแหน่ง ทำให้หลายคนคิดว่าการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดคงต้องชะลอออกไป

บทเรียนจากทั้งหมดนี้ คืออะไร

บทเรียนสำคัญจากทั้งหมดนี้ ก็คือ เราต้องอยู่กับความผันผวนเช่นนี้ไปอีกระยะ และอนาคตจะมีความผันผวนครั้งที่ 5 6 7 8 … ต่อไป

โดยปกติแล้ว ธนาคารกลางสหรัฐเป็นธนาคารกลางที่โปร่งใสที่สุด มีการตัดสินใจที่เข้าใจง่าย ชัดเจนที่สุด โดยเมื่อจะขึ้นดอกเบี้ย ก็จะเริ่มเตรียมตลาด ครั้นเริ่มขึ้นดอกเบี้ย ก็จะเข้าสู่ช่วงที่เรียกว่า up cycle โดยจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องทุกการประชุม ส่วนมากครั้งละ 0.25% จนบรรลุเป้าหมาย ที่ตั้งใจไว้ ดังเช่นที่เกิดขึ้นในช่วงปี 47-49 เฟดขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อกันเป็นเวลา 2 ปีต่อกัน จาก 1.0% เป็น 5.25% ครั้นเมื่อคงดอกเบี้ย ก็จะคงดอกเบี้ยไประยะเวลาหนึ่ง และเมื่อถึงเวลาต้องลงดอกเบี้ย ก็จะเริ่มเตรียมตลาดอีกครั้ง ครั้นเมื่อเริ่มลงดอกเบี้ย ก็จะเข้าสู่ช่วง down cycle โดยปรับลงดอกเบี้ยต่อเนื่องทุกการประชุม จนถึงระดับที่ต้องการ แล้วคงไว้ที่ระดับดังกล่าว

การทำเช่นนี้ ทำให้ตลาดไม่ต้องเดาใจคณะกรรมการฯ ว่าครั้งนี้จะขึ้น หรือจะคงดอกเบี้ย และทำให้ตลาดไปถูกทาง สามารถปรับตัวเตรียมการไปล่วงหน้าก่อน ช่วยเพิ่มประสิทธิผลของการดำเนินนโยบาย และช่วยลดความผันผวนที่ไม่จำเป็นในระบบการเงินโลก

แต่การปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดรอบล่าสุดนี้ สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ เฟดมือไม่นิ่ง ปรับมุมมองและแนวนโยบายตลอดเวลา ทำให้ตลาดต้องเริ่มเล่นเกมส์เดาใจ ว่าเฟดจะขึ้นหรือไม่ขึ้น และถ้าจะขึ้น เฟดจะดูดัชนีตัวไหนเป็นตัวตัดสินสำคัญ ซึ่งในด้านหนึ่งกล่าวได้ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐทำไปเช่นนี้ด้วยความปรารถนาดี ที่ไม่อยากผลีผลาม อยากให้เศรษฐกิจสหรัฐมีฐานที่มั่นคง พอที่จะรองรับดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นได้จริงๆ ไม่ต้องการพลาด ถอนยาก่อนที่คนป่วยจะดีขึ้น แต่ในอีกมุมหนึ่ง การทำเช่นนี้กลับทำให้เกิด policy uncertainty ที่สร้างความผันผวนในตลาดการเงินโลกอย่างต่อเนื่อง โดยไม่จำเป็น

ที่น่ากังวลใจยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อเฟดเลือกทางเดินเช่นนี้ ทางเดินที่ปรับเปลี่ยนได้ตามข้อมูลที่เข้ามา หรือพูดง่ายๆ เหยียบเรือสองแคม เปิด option ไว้ตลอดเวลา ขึ้นก็ได้ คงก็ได้ สิ่งที่จะหายไปคือ (1) ประสิทธิผลของนโยบาย เนื่องจากตลาดไม่สามารถเตรียมการไปล่วงหน้าได้ว่า แนวโน้มดอกเบี้ยจะไปในทิศทางไหน และ (2) ความศักดิ์สิทธิ์และความน่าเชื่อถือของคำประกาศและคำพูดของคณะกรรมการฯ ที่จากเดิมที่ทุกคนเคยเชื่อกันสนิทใจว่า เมื่อคุณเยเลนประกาศเริ่มขึ้นดอกเบี้ย ก็จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของต้นทุนการกู้ยืมของทุกคนใน 2-3 ปีข้างหน้า ที่จะมีนัยอย่างกว้างขวาง ต้องเตรียมการรองรับให้เพียงพอไปข้างหน้า รวมทั้งให้น้ำหนักกับการที่คณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐวางกรอบการขึ้นดอกเบี้ยไว้ที่ 4 ครั้งในปี 59 แต่เมื่อมาถึงจุดนี้ จากการกลับไปกลับมา คำพูดและคำประกาศของคุณเยเลน และคณะกรรมการฯ มีค่าเหลือแค่เพียงเป็นแนวคิด ความปรารถนา คำประกาศ คำพูดที่รับฟังเอาไว้ แต่อาจเปลี่ยนได้ หากข้อมูลไม่เอื้ออำนวย และการเตรียมการรองรับก็ทำแบบครึ่งๆ เผื่อว่าเฟดจะเปลี่ยนใจอีก

แล้วเราจะอยู่อย่างไรในช่วงเวลาเช่นนี้

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราคงต้องทำใจว่า เรากำลังอยู่ในโลกที่เราไม่คุ้นเคย โดยมีธนาคารกลางสหรัฐเป็นตัวแปรสำคัญที่สร้างความผันผวนเพิ่มเติมให้กับตลาดการเงินโลก โดยตลาดและราคาสินทรัพย์สำคัญๆ อาจปรับขึ้นลงอย่างรวดเร็ว เพียงเพราะคำพูดของคนใดคนหนึ่ง หรือจากตัวเลขใดตัวเลขหนึ่งที่ประกาศออกมา กระทบไปถึงค่าเงินสกุลต่างๆ ค่าเงินบาท รวมไปถึงการไหลเวียนของเงินทุนในตลาดการเงินโลก ซึ่งความผันผวนนี้จะเกิดขึ้นไปอีกระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งเกมส์เดาใจเฟดจบลง

ในภาวะเช่นนี้ ในระยะสั้น เราต้องพยายามปกป้องตนเอง พยายามเข้าใจธนาคารกลางสหรัฐ ว่าเขากำลังปรับยาให้ตรงกับภาวะของคนไข้ ซึ่งยังมีความไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้ อีกทั้งยังมีปัจจัยในเศรษฐกิจโลกที่ทำให้เฟดกังวลใจอยู่เรื่อยๆ เช่น ในเดือนนี้ จะมีการลงประชามติของอังกฤษว่าจะออกจากสหภาพยุโรปหรือไม่ ดังนั้น เราจึงต้องทำใจว่า ระยะนี้ยังมี policy uncertainty จากการปรับมุมมองนโยบายการเงินของเฟด ที่อาจจะเกิดขึ้นในวันไหนก็ได้ และจะกระทบกับตัวแปรการเงินต่างๆ เช่น ค่าเงินบาท ที่สามารถปรับเปลี่ยนทิศได้ในเวลาข้ามคืน ด้วยเหตุนี้ หากเราเป็นผู้นำเข้าส่งออก ในช่วงที่ยังไม่ชัดเจนเช่นนี้ จึงเหมาะต่อการเลือกปกป้องความเสี่ยงค่าเงินไว้ในราคาที่เรารับได้ มากกว่าที่จะเสี่ยงไปกับสิ่งที่เอาแน่เอานอนไม่ได้

ในระยะยาว ขอฟันธงไว้ว่า ท้ายสุดธนาคารกลางสหรัฐก็ต้องขึ้นดอกเบี้ยอยู่ดี เพราะเศรษฐกิจสหรัฐโดยรวมแล้วมีข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีและปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ที่สำคัญที่สุด ดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.25-0.5% นั้น ต่ำเกินไป ไม่ปกติ ต้องพยายามหาทางปรับเพิ่มกลับขึ้นมา โดยจุดหักเหสำคัญ น่าจะเกิดขึ้นเมื่อเงินเฟ้อพื้นฐานสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุระดับที่เฟดกังวลใจ (คือมากกว่า 2% จาก 1.6% ในปัจจุบัน) เมื่อถึงจุดนั้น คณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐคงจะเลิกลีลา ท่ามาก เกมส์การเดาใจเฟดก็จะจบลง เฟดก็จะกลับมาเป็นธนาคารกลางที่เข้าใจง่าย ชัดเจน กระบวนการขึ้นดอกเบี้ยก็จะเดินไปตามกรอบที่คาดการณ์กันไว้

ทั้งนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐเข้มแข็งกว่าสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน การปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐจะเกิดขึ้นก่อนประเทศเหล่านั้น อันจะนำมาซึ่งการปรับตัวครั้งสำคัญในตลาดการเงินโลก และแรงกดดันรอบใหม่ให้กับประเทศในตลาดเกิดใหม่ รวมไปถึงไทยด้วย ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนครับ

1 Comment

Posted Under My Articles Post Today

February 15, 2016
Posted by KOBSAK (ADMIN)

ความท้าทายรอบใหม่ในระบบเศรษฐกิจโลก

นับแต่ต้นปีเป็นต้นมา เหตุการณ์ที่ไม่ปกติในระบบการเงินโลกไม่ว่าจะเป็นราคาหุ้นในจีนที่ตกแล้วตกอีกในช่วงหลังปีใหม่ จนต้องปิดตลาด หยุดการซื้อขายไปหลายครั้ง ราคาหุ้นในตลาด NASDAQ ของสหรัฐที่ได้ตกลงกว่า 13% ราคาน้ำมันโลกที่ลงไปต่ำกว่า 27 ดอลลาร์/บาเรล ต่ำสุดในรอบ 13 ปี ค่าเงินสกุลหลักที่ผันผวนขึ้นลง ล่าสุด เงินดอลลาร์ สรอ. ได้อ่อนลงอย่างรวดเร็วในต้นเดือนกุมภาพันธ์ ลดลงเกือบ 3% ใน 2 วัน ทำให้หลายๆ คนอดถามไม่ได้ว่า “กำลังเกิดอะไรขึ้นในระบบเศรษฐกิจการเงินโลก และต่อไปจะเป็นอย่างไร”

ก่อนตอบคำถามเหล่านี้ ต้องขอฟันธงไว้ก่อนว่า “เศรษฐกิจโลกใน 3 ปีข้างหน้าจะต่างจากช่วงก่อนหน้า อย่างที่เรียกได้ว่า เป็นหนังคนละม้วน”

หากยังจำกันได้ หลังวิกฤตการเงินโลกปะทุขึ้น ทุกประเทศต่างพากันพร้อมใจ ร่วมกันอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ เพื่อต่อสู้ป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะ Great Depression ซึ่งก็ได้ผลตามที่หวัง โดยสภาพคล่องที่ได้อัดฉีดจนท่วมระบบ และเศรษฐกิจที่ปรับดีขึ้น นำไปสู่การเก็งกำไร ส่งผลให้ราคาทองคำขึ้นไปแตะระดับ 1,900 ดอลลาร์ สรอ./ออนซ์ ราคาสินทรัพย์ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาอสังหาริมทรัพย์ ในประเทศต่างๆ พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ และเงินได้ไหลไปท่วมประเทศเกิดใหม่ ที่กู้ยืมเงินกันเป็นจำนวนมาก

8 ปีให้หลัง เรากำลังเข้าสู่ช่วงใหม่ของความท้าทาย

หลังจากแก้ไขปัญหากันมานาน เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มกลับเป็นปกติ การจ้างงานลดลงมาระดับต่ำกว่า 5% ขณะที่ยุโรปและญี่ปุ่น ซึ่งฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงสั้นๆ ได้กลับไปสู่หล่มของปัญหาอีกครั้ง เศรษฐกิจไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ต้องเร่งอัดฉีดกันเพิ่มเติม ส่วนประเทศเกิดใหม่ที่เคยคึกคัก ก็กำลังเผชิญกับปัญหาจากเงินที่ไหลออกและอาจเกิดวิกฤตได้ ที่สำคัญที่สุด จีนซึ่งต่อสู้กับปัญหาเศรษฐกิจมานาน กำลังอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด และกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ

ทั้งหมด มีนัยอย่างยิ่งต่อทุกคน โดยมี 3 ประเด็นซึ่งเราต้องระวัง

(1) ความผันผวนในระบบการเงินโลกที่จะเพิ่มขึ้นและจะปะทุเป็นระยะๆ โดยความแตกต่างของภาวะเศรษฐกิจ นำมาซึ่งความแตกต่างของนโยบายระหว่างธนาคารกลางสหรัฐ และกลุ่มของยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของเงินสกุลหลักของโลกจะต้องปรับสมดุลกันเป็นระยะๆ และกระทบต่อการไหลเวียนของเงินทุนในระบบการเงินโลก จากเดิมที่ไหลออกจากประเทศหลักซึ่งร่วมกันอัดฉีดเงินไปสู่ตลาดต่างๆ กลายเป็นการไหลจากทุกที่กลับไปสู่สหรัฐ ที่กำลังดูดสภาพคล่อง เพื่อขึ้นดอกเบี้ย

ทั้งนี้ ความปั่นป่วนในตลาดการเงินโลกอาจปะทุขึ้นเป็นช่วงๆ จากคำพูด คำสัมภาษณ์ หรือคำประกาศนโยบายต่างๆ ที่ออกมา เช่นที่เกิดขึ้นหลังผู้ว่าการธนาคารกลางยุโรปยืนยันว่า “พร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เศรษฐกิจยุโรปเดินหน้าไปได้” หรือหลังธนาคารกลางญี่ปุ่นประกาศใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบ แม้กระทั่งธนาคารกลางสหรัฐที่กำลังอยู่ในช่วงการปรับขึ้นดอกเบี้ยเข้าสู่ระดับปกติ ก็สามารถสร้างความปั่นปวนให้เกิดขึ้นได้เช่นกัน เพราะมีแผนเตรียมจะขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ แต่มีกำหนดการประชุม 8 ครั้ง ทำให้บางครั้งต้องขึ้นดอกเบี้ย บางครั้งไม่ขึ้นดอกเบี้ย สลับกันไป (ปกติเวลาธนาคารกลางสหรัฐขึ้นดอกเบี้ย หรือลดดอกเบี้ย จะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องกันทุกการประชุม ทำให้ง่ายต่อการเข้าใจ) ดังนั้น การสื่อสารกับตลาดรอบนี้ จะเป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยนักลงทุนพร้อมตีความเสมอว่า การตัดสินใจไม่ขึ้นดอกเบี้ยบางครั้งนั้น เป็นสัญญาณว่าจะเป็นการกลับลำนโยบาย และเป็นการหยุดถาวร ส่งผลให้เงินดอลลาร์ สรอ. พร้อมปรับขึ้นลงแรง ดังที่เกิดขึ้นช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

(2) กำลังซื้อโดยรวมในระบบเศรษฐกิจโลกจะซบเซาลง ทำให้ราคาสินค้าเกษตร ราคาน้ำมัน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อยู่ในระดับต่ำไปอีกระยะ โดยปัญหาเศรษฐกิจของจีน ยุโรป และญี่ปุ่น จะใช้เวลาแก้ไขอีก 4-5 ปี เนื่องจากปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง และปัญหาหนี้เสียต่างๆ ที่สะสมไว้ ซึ่งการจะแก้ไขสะสางปัญหาเชิงโครงสร้างและล้างหนี้เสียในระบบ ปกติแล้วต้องใช้เวลานาน ซึ่งหมายความว่า ประเทศเหล่านี้อ่อนแอไปอีกไม่อีกระยะ (สหรัฐ แม้จะใหญ่และกำลังดีขึ้น แต่การนำเข้าเป็นสัดส่วนเพียง 16-17% ของ GDP เท่านั้น) ทำให้กำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจโลก จะยังคงไม่กลับไปสู่ภาวะปกติไปอีกระยะหนึ่ง มีผลต่อเนื่องไปยังราคาสินค้าเกษตร ราคาน้ำมัน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์

(3) กลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Markets) จะอยู่ภายใต้แรงกดดันและต้องปรับตัวครั้งสำคัญ ทั้งจากเงินที่ไหลออกและจากดอกเบี้ยของสหรัฐที่กำลังจะปรับขึ้น โดยประเด็นนี้ ไทยและประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เรียกได้ว่า อยู่หางของมรสุม ไม่ค่อยรับผลกระทบมากนัก แต่หากเราไปดูประเทศเกิดใหม่อื่นๆ เช่น อาร์เจนติน่า รัสเซีย บราซิล ตุรกี หรือแอฟริกาใต้ รวมไปถึงกลุ่มที่ส่งออกน้ำมันหรือส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ ประเทศเหล่านั้นกำลังอยู่ในภาวะลำบากอย่างยิ่ง ขณะที่เงินบาทอ่อนลงเพียง 21.5% จากที่เคยแข็งสุดในช่วง 8 ปีที่ผ่านมาที่ 28.67 บาท/ดอลลาร์ สรอ. ค่าเงินของอาร์เจนติน่า รัสเซีย บราซิล ตุรกี และแอฟริกาใต้ อ่อนลงแล้วถึง 79.0% 71.9% 63.2%62.4% และ 61.1% ตามลำดับ หรือ 3-4 เท่าของการอ่อนตัวของค่าเงินบาท ซึ่งเมื่อสหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แรงกดดันและการปรับตัวของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ก็จะยิ่งเข้มข้นมากขึ้น

ทั้งหมดชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ช่วงใหม่ ที่อึมครึมมากขึ้น ที่ผันผวนมากขึ้น ซึ่งหมายความว่า เราต้องระมัดระวัง รู้จักปกป้องความเสี่ยง เร่งสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจไทย ให้มีภูมิคุ้มกัน เพื่อให้สามารถผ่านช่วงของความท้าทายที่รออยู่ได้ โดยในประเด็นนี้ โชคดีที่เศรษฐกิจไทยโดยรวม มีพื้นฐานที่ดี มีความเข้มแข็ง ไม่ได้สะสมปัญหาต่างๆ ไม่ได้กู้ยืมเงินจำนวนมากจากต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา เหมือนประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ รอบๆ ไทย ประเทศเพื่อนบ้านยังมีการขยายตัวในระดับที่ดีมาก ซึ่งจะเป็นกำลังซื้อทดแทนให้สินค้าไทย และเป็นเป้าหมายใหม่ของการลงทุน ที่เมื่อสำเร็จจะหลอมรวมกันเป็นห่วงโซ่การผลิตใหม่ของภูมิภาค ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยรวมให้ไทยต่อไป

ผมขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนครับ

2 Comments

Posted Under My Articles Post Today

    • Posts
    • Twitter
    • Flickr
     

    ก้าวให...

    My Articles

     

    ถึงเวล...

    My Articles

     

    ภาพแห่...

    My Articles

    Sorry... I have not linked my Twitter
    to my blog yet
    Sorry... I have not set my Flickr
    account up yet
  • Pages

    • About
  • Categories

    • Bangkokbiznews
    • MY AEC มีทางรวย
    • My Articles
    • My Interviews
    • My Treasures
    • Post Today
    • Uncategorized
    • ไม่มีหมวดหมู่
  • Archives

    • 2020
      • August
    • 2018
      • January
    • 2017
      • August
    • 2016
      • February
      • June
      • October
    • 2014
      • January
      • May
    • 2013
      • March
      • April
    • 2009
      • July
  • Blogroll

    • Themes
  • Subscribe2


     

This site is using the Handgloves WordPress Theme
Designed & Developed by George Wiscombe Google+

Subscribe via RSS